
พันธุ์ข้าวโพดหลังนา
พันธุ์ข้าวโพดหลังนา
ในปัจจุบัน การปลูกข้าวโพดหลังนามีความสนใจปลูกกันมากขึ้น เนื่องจากการดูแลรักษาง่ายกว่าพืชอื่น ผลผลิตในฤดูแล้งก็สามารถขายได้ราคาดี
สภาพดินในนาส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มมีน้ำขังง่าย มีทั้งสภาพดินทราย ดินร่วน และดินเหนียว ดังนั้นการปลูกข้าวโพดในนาจะต้องมีการระบายน้ำให้ดี
การปลูกข้าวโพดหลังนา น้ำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นจะต้องมั่นใจว่าจะสามารถให้น้ำได้เพียงพอตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว 800 – 900 ลูกบาศก์เมตร ต่อ 1 ไร่ หรือ 500 – 600 มิลลิเมตร ต่อ 1 ฤดูกาลเพาะปลูก
ปัจจุบันประเทศไทยมีการปลูกข้าวโพดหลังนา ประมาณ 5% หรือ คิดเป็น 350,000 ไร่ แต่มีแนวโน้เพิ่มขึ้นทุกปี เกษตรกรมีการพัฒนาระบบชลประทานกันมากขึ้น เพื่อให้สามารถปลูกข้าวโพดได้ทั้งปี ข้าวโพดหลังนาจะเป็นข้าวโพดที่ให้คุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวที่ดีมาก ทำให้สามารถขายได้ราคาที่สูงกว่าข้าวโพดในรุ่นฝน พื้นที่ที่สามารถปลูกข้าวโพดหลังนาได้ดี เช่น จ.อุบลราชธานี จ.ชัยภูมิ จ.พิษณุโลก จ.อุตรดิตถ์ จ.ลำปาง จ.แพร่ จ.ตาก จ.อุทัยธานี จ.ชัยนาท เป็นต้น
พันธุ์ข้าวโพดที่เกษตรกรควรเลือกใช้ต้องเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงประมาณ 1,500 – 2,000 กิโลกรัมต่อไร่ ที่นำหนักเก็บเกี่ยวสด หรือ ไม่ต่ำกว่า 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ที่น้ำหนักแห้ง ความชื้น 14.5% ข้าวโพดต้องทนต่อการปลูกถี่ เช่น มีประชากร 1,100 – 15,000 ต้นต่อไร่ มีลักษณะใบตั้ง ต้นเตี้ย และแข็งแรง ส่วนใหญ่อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 100 – 120 วัน มีการตอบสนองต่อการใช้ปุ๋ยมาก ทนต่อสภาพน้ำขังได้ดี และทนทานต่อการเข้าทำลายของแมลงศัตรูพืช
งานวิจัยพันธุ์ข้าวโพดและประกันคุณภาพ CPP

